วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นครรัฐวาติกัน เมืองแห่งศาสนา

ท่องเที่ยวในยุโรปกับ
นครรัฐวาติกัน เมืองแห่งศาสนา


ครรัฐวาติกัน เป็นประเทศเอกราชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม มีกำแพงล้อมรอบเกือบทุกด้าน ยกเว้นด้านมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศนี้คือ Holy See คำว่า see เป็นศัพท์ทางคริสต์ศาสนา แปลว่าศาสนจักร ประเทศนี้เกิดขึ้นได้ไม่นานในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อ

สิ่งที่น่าสนใจอันดับหนึ่งก็คือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์และลานด้านหน้า จักรพรรดิคอนสแตนตินที่นับถือศาสนาคริสต์ได้สร้างวิหารขึ้นที่บริเวณนี้เป็นครั้งแรกในคริสตศตวรรษที่ 4 แต่วิหารก็เสื่อมโทรมและพังทลายลง จนอีกหนึ่งพันปีต่อมาได้มีการสร้างมหาวิหารหลังปัจจุบันขึ้นมาแทนที่ ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินหลายท่าน แต่ส่วนใหญ่จะยกย่อง มิเคลันเจโล(ศิลปินชื่อดัง)ที่มีส่วนสำคัญในการก่อสร้างโดยเฉพาะยอดโดมที่สวยงาม

ส่วนลานขนาดมหึมาด้านหน้าเป็นผลงานของศิลปินรุ่นหลังที่ชื่อ แบร์นินี (Bernini) ผู้ออกแบบน้ำพุต่าง ๆ รอบกรุงโรม (แสดงว่าลานสร้างหลังมหาวิหาร)เชื่อกันว่าตัวมหาวิหารสร้างบนที่ซึ่งเซนต์ปีเตอร์หรือที่รู้จักในบ้านเราว่านักบุญเปาโตรถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนแบบกลับหัวลงในยุคโรมันโบราณ

ภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่ต้องผ่านกระบวนการตรวจตราอย่างละเอียด แล้วถ้าไปในช่วงฤดูท่องเที่ยวหรือเทศกาลสำคัญทางศาสนาก็ต้องต่อแถวยาวมาก ซึ่งการต่อแถวเพื่อเข้าชมอะไรก็ตามในประเทศอิตาลีถือเป็นของธรรมดา
สิ่งสำคัญภายในตัววิหารคือรูปประติมากรรมหินอ่อนอันมีชื่อเสียงของมิเคลันเจโล่ชื่อว่า Pieta ซึ่งเป็นรูปของพระแม่มารีประคองร่างของพระเยซูหลังจากสิ้นพระชนม์บนกางเขนไว้บนตัก เป็นรูปแกะสลักซึ่งสื่อถึงอารมณ์ความรักของแม่ได้อย่างลึกซึ้ง
บริเวณโดยรอบจะมีผู้ดูแลที่ทำหน้าที่เป็นทหารคุ้มครองพระสันตปาปา เรียกว่า Swiss guards มีประมาณร้อยนาย ทหารพวกนี้เป็นชาวสวิสทั้งหมด (เพราะถ้าเอาทหารอิตาลีมาเป็นทหารส่วนประองค์อาจเกิดการรวมประเทศ จึงเอาทหารสวิสฯมาแทนเนื่องจากเป็นประเทศที่เป็นกลางมากที่สุด)

และอีกที่ที่พลาดไม่ได้คือพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican museum) ถึงแถวจะยาวแค่ไหน ถึงค่าเข้าจะเป็นเท่าไหร่ก็ตาม ถ้ามีเวลาซักครึ่งค่อนวันก็ควรจะหาโอกาสมาชมให้ได้เพราะเป็นที่รวมของงานศิลปะระดับโลกมากมายมีทั้งมัมมี่และงานประติมากรรมจากอียิปต์รูปแกะสลักหินอ่อนจากยุคกรีกโรมันโบราณรวมทั้งภาพวาดแบบเฟรสโก้จากศิลปินชื่อดังโดยเฉพาะมิเคลันเจโลและราฟาเอล

ห้องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือห้องซิสทีน(SistineChapel) ซึ่งใครที่มาชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ต่างก็ต้องการชมห้องนี้ให้ได้ห้องนี้ใช้เป็นที่ประชุมของพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกพระสันตะปาปาองค์ต่อมีภาพวาดที่สวยงาม มิเคลันเจโลใช้เวลาถึง 4 ปีกินนอนอยู่บนนั่งร้านเพื่อวาดภาพปูนเปียกเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับปฐมกาล(Genesis) ตั้งแต่การสร้างโลก สร้างมนุษย์เพศหญิง สร้างมนุษย์เพศหญิง (Eve)จากซี่โครงของผู้ชาย อีฟทรยศต่อพระเจ้าจนถูกขับออกจากสวนอีเดนและภาพน้ำท่วมโลก รวมทั้งหมด 9 ภาพ

4 ปีต่อมา มิเคลันเจโลได้ถูกว่าจ้างให้กลับมาวาดภาพที่ห้องนี้อีกครั้ง เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชื่อว่า วันพิพากษา (The Last Judgement) เป็นภาพที่เมื่อถึงวันสิ้นสุดโลก พระเจ้า(พระเยซูในรูป)จะเสด็จกลับลงมาและพิพากษามนุษย์แต่ละคนว่าใครควรจะขึ้นสวรรค์ ใครควรจะลงนรก ภาพนี้อยู่บนผนังกำแพงด้านหนึ่งเต็มๆ ของห้อง
ออกจากวาติกันมา จะต้องเห็นปราสาทแห่งนี้ที่ชื่อว่า Castel Sant'Angeloถึงจะไม่ได้อยู่ในกำแพงวาติกัน แต่ก็ถือว่าอยู่ในอาณาจักรของวาติกันตามสนธิสัญญาที่มุสโสลินีได้ให้ไว้ จะมีทางเดินลับเชื่อมระหว่างปราสาทแห่งนี้กับพระราชวังของพระสันตปาปาเพื่อเอาไว้หลบภัยหากศัตรูคิดจะมาจับตัวพระองค์ ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น